1.การส่งสัญญาณผ่านโดยเกิดอันตรกิริยาระหว่างเซลล์โดยตรง
มีบทบาทสำคัญในการควบคุมการเกิดอันตรกิริยาระหว่างเซลล์ต่างชนิดกันที่เกิดขึ้นขณะที่มีการพัฒนาของตัวอ่อน
เช่น อินทีกริน (integrin) และ แคดฮีริน (cadherin) ซึ่งจะมีบทบาทในการควบคุมการเพิ่มจำนวนและการอยู่รอดของเซลล์โดยมีการตอบสนองระหว่างเซลล์และกับสิ่งแวดล้อม2. การส่งสัญญาณโดยการหลั่งสารหรือโมเลกุลที่ส่งสัญญาณออกมาจากเซลล์
มี 3 รูปแบบคือ1) การส่งสัญญาณแบบเอนโดไครน์
(endocrine signaling)สร้างมาจากเซลล์พิเศษของต่อมไร้ท่อและถูกหลั่งออกมาผ่านช่องว่างภายนอกเซลล์เข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิต
เพื่อไปจับกับตัวรับของเซลล์เป้าหมาย ซึ่งห่างจากเซลล์ของต่อมไร้ท่อมาก
2. การส่งสัญญาณแบบพาราไครน์
(paracrine signaling)
สารถูกหลั่งออกมาแล้วไปจับกับตัวรับของเซลล์เป้าหมายที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง
เช่น การทำงานของสารสื่อประสาท (neurotransmitter)
ที่นำส่งสัญญาณระหว่างเซลล์ประสาทที่บริเวณซิแนปส์
(synapes)
3. การส่งสัญญาณแบบออโตไครน์
(autocrine signaling)
โมเลกุลส่งสัญญาณเมื่อหลั่งออกมาแล้วจะไปจับกับตัวรับของเซลล์เดิมที่หลั่งโมเลกุลตัวนั้นออกมา
เช่น
การตอบสนองของเซลล์ในระบบภูมิคุ้มกันในสัตว์มีกระดูกสันหลังต่อแอนติเจนแปลกปลอม
โดยแอนติเจนจะกระตุ้นลิมโฟไซท์ชนิดที (T-lymphocyte) ให้สร้างโกรทแฟคเตอร์
(growth factor) มากระตุ้นให้เซลล์ทีแบ่งเซลล์เพิ่มจำนวน
และถ้าเกิดความผิดปกติเกี่ยวกับการสร้างโมเลกุลที่ส่งสัญญาณแบบออโตไครน์จะทำให้ไม่สามารถควบคุมการเจริญเติบโตของเซลล์
เช่น การเกิดมะเร็ง เป็นต้น การส่งสัญญาณผ่านแกปจังก์ชัน (Gap junction communication)เนื่องจากแกปจังก์ชันเป็นการเชื่อมต่อกันโดยตรงของไซโทพลาซึมระหว่างเซลล์ที่อยู่ติดกันดังนั้นแกปจังก์ชันจึงยอมให้โมเลกุลส่งสัญญาณขนาดเล็กที่อยู่ภายในเซลล์
(intracellular mediators หรือ intracellular signaling
molecules) เช่น แคลเซียมไอออน และ ไซคลิกเอเอ็มพี (cyclic AMP) ผ่านได้ แต่โมเลกุลขนาดใหญ่ เช่น โปรตีน หรือ
กรดนิวคลีอิก จะไม่ยอมให้ผ่าน
นอกจากนี้แกปจังก์ชันยังมีส่วนช่วยให้เซลล์ชนิดเดียวกันมีการติดต่อสื่อสารและประสานงานกันได้
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น